น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง แบบไหนดีต่อสุขภาพ

<strong>น้ำตาลทรายขาว</strong> <strong>น้ำตาลทรายแดง</strong> แบบไหน<strong>ดีต่อสุขภาพ</strong> #1

น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง แบบไหนดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน น้ำตาลทรายขาวกับน้ำตาลทรายแดง นอกจากสีสันที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ก็ยังมีความแตกต่างระหว่างน้ำตาลทรายขาวกับน้ำตาลทรายแดงบางประการที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

ร่างกายก็จำเป็นต้องได้รับ น้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เนื่องจากกลูโคส (Glucose) เป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานของร่างกาย

น้ำตาลทรายมีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่

น้ำตาลทราย คือ น้ำตาลซูโครส (Sucrose) ที่มีผลึกสีขาวหรือสีน้ำตาล มีขนาดเล็ก ซึ่งเราอาจคุ้นเคยทั้งสองสี คือ สีขาวและสีน้ำตาล หรือที่อาจจะเรียกติดปากกันว่าน้ำตาลทรายขาวกับน้ำตาลทรายแดง ซึ่งทำหน้าที่ให้ความหวานในเมนูอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานกันในชีวิตประจำวัน

โดยมากแล้วเมื่อนึกถึง น้ำตาลเราก็มักจะมองเห็นข้อเสียของการรับประทานน้ำตาลเต็มไปหมด ทั้งเป็นสาเหตุของโรคอ้วน โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเรื้อรังต่างๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น น้ำตาลก็ยังพอมีประโยชน์ต่อสุขภาพอยู่บ้าง แม้จะไม่มากมายเท่าไหร่ แต่ก็ยังถือว่าไม่ควรมองข้ามเสียทีเดียว เช่น

ในบางครั้งร่างกายก็จำเป็นต้องได้รับ น้ำตาลเพื่อเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เนื่องจากกลูโคส (Glucose) เป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานของร่างกาย และการที่จะสามารถผลิตกลูโคสได้นั้นก็จำเป็นต้องอาศัยทั้งน้ำตาลแบบซูโครส ฟรุกโตส (Fructose) และกลูโคสมาร่วมกระบวนการด้วย เมื่อน้ำตาลทั้งสามชนิดเกิดการแตกตัว ร่างกายก็จะทำการแยกโมเลกุลทั้งสามออกจากกัน โดยมีอินซูลินทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำตาลเหล่านี้ไปยังเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ก่อนจะถูกเผาผลาญเป็นพลังงานให้กับร่างกาย

นอกจากนี้เรายังอาจเคยได้ยินว่าการกิน น้ำตาล มีส่วนช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น เนื่องจากเมื่อรับประทานน้ำตาลเข้าไปแล้ว สมองจะปล่อยสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า โดพามีน (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้

ความแตกต่างระหว่าง น้ำตาลทรายขาว กับน้ำตาลทรายแดง

แม้น้ำตาลทรายขาวกับน้ำตาลทรายแดงจะจัดว่าเป็นน้ำตาลเหมือนกัน มีรูปลักษณ์ที่เหมือนกัน แต่แตกต่างกันชัดเจนในเรื่องของสี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว น้ำตาล ทั้งสองชนิดนี้ยังมีจุดที่แตกต่างกันอยู่บางประการ ดังนี้

ผ่านกระบวนการผลิตที่แตกต่างกัน

ในกระบวนการผลิตน้ำตาลนั้นอาจมีที่มาจากพืชชนิดเดียวกัน เช่น อ้อย แต่ในกระบวนการผลิตอาจมีความแตกต่างกัน น้ำตาลทรายขาวจะผ่านกระบวนการที่เรียกว่า Purifying process หรือการทำให้บริสุทธิ์ โดยจะทำการกำจัดกากน้ำตาล (Molasses) ออกไปทำให้ น้ำตาล เหลือแต่ก้อนผลึกสีขาว

จากนั้นจึงจะผ่านกระบวนการกรองอีกครั้งหนึ่ง ส่วนน้ำตาลทรายแดงจะผ่านกระบวนการในการผลิตน้อยเพื่อที่จะได้รักษาปริมาณของกากน้ำตาลเอาไว้ โดยจะนำเอาน้ำตาลทรายขาวมาผสมกับกากน้ำตาล น้ำตาลจึงมีสีออกน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม หรือที่เรียกว่าน้ำตาลทรายแดง

คุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกัน

ในกระบวนการผลิตของน้ำตาลทั้งสองชนิดนั้น น้ำตาลทรายแดงจะมีการนำน้ำตาลทรายขาวไปผสมกับกากน้ำตาล ซึ่งกากน้ำตาลนั้นนอกจากจะเพิ่มสีให้กับน้ำตาลทรายแล้ว ก็ยังเพิ่มคุณค่าทางสารอาหารมากขึ้นอีกเล็กน้อย ซึ่งเมื่อนำน้ำตาลทรายแดงมาเปรียบเทียบกับน้ำตาลทรายขาวที่ไม่ได้ถูกนำมาผสมกับกากน้ำตาลจะพบว่า น้ำตาลทรายแดงให้แคลอรีน้อยกว่าน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับ น้ำตาล ทั้งสองชนิดในขนาด 1 ช้อนชา น้ำตาลทรายขาวจะให้ 16.3 แคลอรี ขณะที่น้ำตาลทรายแดงให้เพียง 15 แคลอรี่เท่านั้น นอกจากนี้ในน้ำตาลทรายแดงยังมีแคลเซียมและโพแทสเซียมในปริมาณที่มากกว่าน้ำตาลทรายขาวอีกด้วย

น้ำตาลทรายแดง ดีกว่าน้ำตาลทรายขาวจริงหรือ

หลายคนอาจจะเคยได้ยินว่าเพื่อการมีสุขภาพดีให้เลือกกินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหากจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก เพราะกากน้ำตาลในน้ำตาลทรายแดงนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารจำพวก แมกนีเซียม แคลเซียม โพแทสเซียมในปริมาณที่มากกว่าน้ำตาลทรายขาว เนื่องจากน้ำตาลทรายขาวนั้นไม่มีกากน้ำตาลที่มีสารอาหารอยู่เลย

อย่างไรก็ตาม ปริมาณสารอาหารที่น้ำตาลทรายแดงมีมากกว่านั้น ก็เป็นปริมาณที่มากกว่าเพียงแค่เล็กน้อย จนอาจกล่าวได้ว่าไม่ได้มากพอสำหรับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น ไม่ว่าจะเลือกน้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง จุดประสงค์ก็เพียงเพิ่มความหวานให้กับรสชาติอาหารเป็นหลัก และไม่ได้มีผลดีต่อสุขภาพที่มากกว่าหรือแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจนต้องฟันธงให้เลือกรับประทานเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้บริโภคสามารถเลือกรับประทานตามความชอบหรือรสนิยมของผู้บริโภคได้เลย

ควรรับประทานน้ำตาลเท่าไหร่จึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า น้ำตาล ทั้งสองชนิดไม่ได้สร้างความแตกต่างในแง่ของการสร้างสุขภาพดีมากนัก ดังนั้นจึงสามารถเลือกรับประทานน้ำตาลชนิดใดก็ได้ตามใจชอบ แต่...ควรจะต้องอยู่ในระดับที่พอดี และไม่ควรจะมากเกินไป เพราะการรับประทานน้ำตาลที่มากจนเกินไป อาจเป็นสาเหตุของความเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูง เป็นต้น ซึ่งนั่นทำให้สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (American Heart Association หรือ AHA) ได้แนะนำหลักในการรับประทานน้ำตาลอย่างเหมาะสมเอาไว้ว่า

ผู้หญิง ควรจะรับประทาน น้ำตาล ในปริมาณ 100 แคลอรีต่อวัน หรือประมาณ 6 ช้อนชา (25กรัม)
ผู้ชาย ควรจะรับประทาน น้ำตาล ในปริมาณ 150 แคลอรีต่อวัน หรือประมาณ 9 ช้อนชา (36กรัม)

<strong>น้ำตาลทรายขาว</strong> <strong>น้ำตาลทรายแดง</strong> แบบไหน<strong>ดีต่อสุขภาพ</strong> #2

ข้อมูล :Khongrit Somchai / sanook.com

POW พาวโปรตีน พาวเดลี่ POW Daily

พาวเดลี่ POW Daily โปรตีนจากพืช Multi Plant Protein 5 ชนิด พาวโปรตีน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุง เสริมพลังงานให้เพียงพอต่อความจำเป็นของร่างกาย ใน 1 วัน  เด็กที่ไม่ทานผัก หรือผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ทานอาหารยาก ทานได้น้อย เบื่ออาหาร  หรือผู้ที่ออกกำลัง...

ดูรายละเอียด

สุขภาพหญิง

บทความน่ารู้

กลิ่นปาก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ

กลิ่นปาก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะเป็นปราการด่านแรกในการเจรจา พบปะผู้คนแม้จะดูแลฟันและช่องปากดีขนาดไหน...แต่ก็เกิดกลิ่นปากได้แบบไม่รู้ตัว วันนี้มีเกร็ดความรู้สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก และการดูแลสุขภาพภายในช่องปาก มากฝากทุกคนค่ะ...

อ่านต่อ

การป้องกันเบาหวานขึ้นตา

การป้องกันทำได้ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะนำไปสู่ภาวะเบาหวานขึ้นตา และป้องกันอาการที่อาจรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งปฏิบัติได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้จัดการกับเบาหวานด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่นเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารที่มีรสเค็ม ห...

อ่านต่อ

คอลลาเจน ใน พันดารา

คอลลาเจนในท้องตลาดมีมากมายหลายยี่ห้อ หลายรูปแบบ แต่รับรองว่าไม่เหมือนพันดาราคอลลาเจนอย่างแน่นอน เพราะพันดาราเราได้จดสิทธิบัตรเป็นคอลลาเจน หนึ่งเดียวในโลก ที่สามารถดูดซึมผ่านกระพุ้งแก้มได้ ซึ่งเป็นผลงานนักวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จนได้รับรางวัลนวัต...

อ่านต่อ

ไม่ออกกำลังกาย เสี่ยงกว่า ผู้ป่วยเบาหวาน

เราทราบกันดีว่า การออกกำลังกายช่วยให้ชีวิตยืนยาวขึ้นได้ การไม่ออกกำลังกาย อาจให้ผลร้ายมากกว่าการสูบบุหรี่ หรือเป็นโรคเบาหวาน และ โรคหัวใจเสียอีกการวิจัยเรื่องผลของการ ไม่ออกกำลังกาย จัดทำขึ้นโดยนักวิจัยที่โรงพยาบาล Cleveland Clinic ในรัฐโอไฮโอ โดยใช้...

อ่านต่อ

วัยทองต้องรู้ วัยทอง คืออะไร

วัยทอง เฉลี่ยแล้วจะเกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณ 40กว่า จะมีปัญหาเรื่องของฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง ซึ่งจริงๆมีหลายตัวแต่ฮอร์โมนที่สำคัญมี 2 ตัว คือ เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน โดยเฉพาะ ฮอร์โมนเอสโตรเจน สำคัญมากเกี่ยวข้องในเรื่อง ผิว ผม  และในอง...

อ่านต่อ